หลังการตกรอบยูโร 2020 พร้อมกับการอำลาตำแหน่งของ โยอัคคิม เลิฟ ทีมชาติเยอรมัน ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้งในยุคของกุนซือ “ฮันซี่ ฟลิค”

การเปลี่ยนแปลงถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปจะเริ่มขึ้นเมื่อ เลิฟ ตัดสินใจวางมือเมื่อการแข่งขันสิ้นสุด ขณะที่ ฟลิค กลายเป็นคนถูกเลือกให้รับหน้าที่แทนหลังแยกทางกับ บาเยิร์น มิวนิค

ย้อนไปดูผลงานของ “อินทรีเหล็ก” ในทัวร์นาเมนต์ทิ้งทวนของ โยอัคคิม เลิฟ กันอีกรอบ

เยอรมัน เอาตัวรอดจาก “กรุ๊ป ออฟ เดธ” ได้สำเร็จ แต่ก็ต้องลุ้นจนเฮือกสุดท้ายที่ไล่ตีเสมอ ฮังการี หืดจับ 2-2 ทำให้จบรอบแรกในตำแหน่งรองแชมป์กลุ่ม ขณะที่แชมป์กลุ่มคือ ฝรั่งเศส ส่วน โปรตุเกส จบอันดับ 3 แต่ก็ติดเป็น 1 ใน 4 ทีมอันดับ 3 ที่ผลงานดีสุดเข้ารอบเช่นกัน

เลิฟ พาทีมลงสนามนัดแรกเจองานหนักปะทะแชมป์โลกฝรั่งเศสก่อนเป็น มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ สกัดบอลเข้าประตูตัวเองส่งให้ทัพตราไก่เป็นฝ่ายเก็บ 3 คะแนนได้

นัดสอง อินทรีเหล็กคืนฟอร์มเก่งไล่อัดแชมป์เก่าโปรตุเกสไปแบบสะใจ 4-2 ทำให้ได้ลุ้นตำแหน่งแชมป์กลุ่มจนถึงนัดสุดท้าย

ทว่านัดปิดท้ายรอบแรก เยอรมัน ไม่สามารถรักษาฟอร์มจากนัดชนะฝอยทองได้ทั้งที่เล่นในอัลลิอันซ์ อารีน่า เหมือนเดิมกับการเจอคู่แข่งที่ตามแรงกิ้งแล้วเป็นรองอยู่มากอย่าง ฮังการี

แข้งแม็กยาร์ เป็นฝ่ายนำถึง 2 รอบซึ่งในช่วงที่สกอร์ตามหลังนั้น เยอรมัน หล่นไปอยู่บ๊วยของตารางที่หมายถึงการตกรอบหากวัดคะแนนกันแบบ “เรียลไทม์”

แต่สุดท้ายก็ได้ ไค ฮาแวร์ตซ์ ทำประตูตีเสมอ 1-1 และ เลออน โกเร็ตซ์ก้า ทำประตูตีเสมอ 2-2 ก่อนจบเกม 6 นาที ทำให้ผ่านเข้ารอบหวุดหวิด


อินทรีเหล็กจอดป้ายเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้าย

ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เยอรมัน ต้องไปเยือนคู่ปรับตลอดกาลอย่าง อังกฤษ ที่สนามเวมบลีย์ซึ่งสถิติของ “อินทรีเหล็ก” ไม่เคยแพ้กลับออกมาเลยตลอด 7 ครั้งหลังสุด หรือนับตั้งแต่นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1996 ที่เป็นแชมป์สมัยแรกและสมัยเดียวของทัพสิงโตคำราม

ลูกทีมของ เลิฟ เริ่มต้นได้ดี ครองบอลบุกได้มากกว่าในช่วง 20 นาทีแรก แต่หลังจากนั้นก็เป็นทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่คุมจังหวะการเล่นได้เหนือกว่าและสามารถปิดเกมรุกของทัพอินทรีเหล็กได้หลายจังหวะ

ช่วง 15 นาทีสุดท้าย เกมรับของเยอรมันก็ทำนบแตกจนได้จากการเจาะด้านข้างก่อนเป็น ลุค ชอว์ เปิดให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง แปง่ายๆ เข้าไป ขณะที่ประตูปิดกล่อง 2-0 ก็เป็นการเข้าทำคล้ายคลึงกัน แจ็ค กรีลิช เปิดให้ แฮร์รี่ เคน ทำประตูแรกในทัวร์นาเมนต์ด้วยการโขกผ่านมือ มานูเอล นอยเออร์

ก่อนอังกฤษได้ประตู 2-0 เยอรมันมีโอกาสทองที่ตีเสมอเมื่อ โธมัส มุลเลอร์ ได้หลุดเดี่ยวก่อนยิงเน้นๆ ทว่าหักหน้าเท้ามากไปหน่อย บอลจึงหลุดเสาออกหลังชนิดที่แฟนบอลเมืองเบียร์ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

ชัยชนะตกเป็นของอังกฤษในที่สุดหลังจากเคยเสียท่าคู่แข่งเบอร์หนึ่งในหลายต่อหลายครั้ง ขณะที่เยอรมันต้องหยุดเส้นทางยูโร 2020 เอาไว้เพียงรอบ 16 ทีมสุดท้าย


ตำแหน่งแชมป์โลก 2014 คือมรดกที่ เลิฟ ทิ้งเอาไว้

เทียบกับฟุตบอลโลก 2018 ที่ตกรอบแรกถือว่าผลงานดีขึ้นเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับยูโร 2016 ก็แย่กว่าเดิมเพราะ 5 ปีก่อนสามารถเข้ารอบตัดเชือกก่อนพ่ายเจ้าภาพฝรั่งเศส 0-2

การตกรอบมาพร้อมการเปลี่ยนแปลง โยอัคคิม เลิฟ หมดภารกิจและได้พักชั่วคราวก่อนตัดสินใจเรื่องอนาคตอีกที ขณะที่ ฮันซี่ ฟลิค เข้ามาสานงานต่อทันทีโดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์

คัดบอลโลกโซนยุโรปลงสนามไปแล้ว 3 นัด เยอรมัน เก็บได้ 6 คะแนนจากชัยชนะเหนือ ไอซ์แลนด์ 3-0 และ โรมาเนีย 1-0 ทว่าพลาดท่าสุดช็อกในนัดล่าสุดก่อนลุยยูโรที่โดน นอร์ธมาซิโดเนีย บุกโค่น 2-1

ในกลุ่มนี้ อาร์เมเนีย นำจ่าฝูงแบบเซอร์ไพรส์ด้วยการชนะ 3 นัดรวด ตามด้วย นอร์ธมาซิโดเนีย ที่มี 6 คะแนนเท่าเยอรมัน ขณะที่ โรมาเนีย กับ ไอซ์แลนด์ มี 3 คะแนน ส่วนบ๊วยกลุ่ม ลิกเต่นสไตน์ ยังไม่มีคะแนนติดมือ

ทีมแชมป์เท่านั้นที่จะผ่านเข้ารอบสุดท้ายอัตโนมัติ ส่วนรองแชมป์ไปลุ้นต่อในรอบคัดเลือก รอบสอง


ฮันซี่ ฟลิค เข้ามาสานงานต่อ

ตามศักยภาพแล้ว “อินทรีเหล็ก” เหนือกว่าทุกทีมร่วมกลุ่ม แต่หากเล่นผิดพลาดเช่นนัดพ่ายคาบ้านต่อ นอร์ธมาซิโดเนีย ก็อาจต้องลุ้นเหนื่อยกว่าที่คาด

จุดต่อมาที่ถูกจับตามองคือ ขุมกำลังของทีมต่อจากนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ใครจะเป็นแกนหลักนำทีมต่อไป และจะมีดาวรุ่งคนไหนก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญได้บ้าง

คิกเกอร์ สื่อดังของประเทศวิเคราะห์สถานการณ์ของกลุ่มผู้เล่นประสบการณ์สูงในทีมเอาไว้ดังนี้

มานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตูกัปตันทีมวัย 35 ปี ต้องการรับใช้ชาติต่อไป สอดคล้องกับ บิลด์ ที่ระบุว่า นอยเออร์ จะยังคงเป็นมือหนึ่งและกัปตันทีมไปจนถึงฟุตบอลโลกปีหน้า

ขณะที่ มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ และ โธมัส มุลเลอร์ ที่เคยหลุดจากทีมชาติไปพักใหญ่ก่อนกลับมาติดทีมลุยศึกยูโร ยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆ และจะพูดคุยกับ ฟลิค อีกครั้ง

ส่วน โทนี่ โครส ที่รับใช้ทัพอินทรีเหล็กมาเกินสิบปีเช่นกัน มีข่าวว่าเตรียมอำลาทีมชาติ แต่ตอนนี้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ

การตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตทั้งหมดในกลุ่มนี้น่าจะชัดเจนขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า หรือก่อนที่ทีมจะลงสนามนัดต่อไปในฟุตบอลโลก 2020 รอบคัดเลือก 3 นัดในต้นเดือนกันยายน


นอยเออร์ พร้อมช่วยทีมถึงฟุตบอลโลกปีหน้า

แต่จากการคาดของ บิลด์ จะมีเพียง มานูเอล นอยเออร์ กับ โธมัส มุลเลอร์ ที่เป็นตัวหลักในยุคของ ฟลิค โดยจัด 11 ผู้เล่นตัวจริงเอาไว้ดังนี้

นอยเออร์ ทำหน้าที่เฝ้าเสา กองหลัง 4 คนประกอบด้วย รีเดิ่ล บากู แบ็กขวาดาวรุ่ง โวล์ฟสบวร์ก ที่ก้าวขึ้นมาเล่นร่วมกับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ มัทธิอัส กินเทอร์ ส่วนฝั่งซ้ายเป็น มาร์เซล ฮัลส์เท่นแบร์ก

ในแดนกลางจะมี เลออน โกเร็ตซ์ก้า กับ โยชัว คิมมิช คู่มิดฟิลด์จาก บาเยิร์น มิวนิค จับคู่กันในทีมชาติ

ส่วนตัวรุกยังมี มุลเลอร์ เป็นจอมทัพร่วมกับ แซร์ช นาบรี้ และ ไค ฮาแวร์ตซ์ ขณะที่หน้าเป้าเป็น ติโม แวร์เนอร์ 

นี่คือภาพคร่าวๆ ของ เยอรมัน ในยุคที่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้งกับกุนซือที่ชื่อ ฮันซี่ ฟลิค ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงสองปีกับ บาเยิร์น

ตามดูกันว่ากุนซือวัย 56 ปี จะกอบกู้อินทรีเหล็กให้กลับมาผงาดเหมือนกับที่เคยปลุกเสือใต้ให้คำรามกึกก้องกวาดทุกแชมป์ในฤดูกาลแรกได้หรือไม่ 

คลิกเลย >>> https://www.ufabetwins.com/
อ่านเพิ่มเติม >>> บ้านผลบอล