UFABETWINS เกาหลีใต้ อาจจะเป็นทีมม้ามืดที่ไปได้ไกลที่สุดในฟุตบอลโลก 2002 ทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่า พวกเขาไม่ใช่ทีมที่น่าชื่นชมที่สุด
และหากจะมีทีมใดสมฉายา “ม้ามืด” ทีมนั้นจะต้องเป็น เซเนกัล อย่างไม่ต้องสงสัย ฟุตบอลโลกครั้งแรกของพวกเขา กับนักเตะโนเนมที่ดังระเบิดหลังจบศึกเวิลด์คัพครั้งนั้น ซาลีฟ ดิเยา, เอล ฮัดจิ ดิยุฟ และ ปาปา บูบา ดิยอป คือของจริง และนี่คือเรื่องราวจากเริ่มจนถึงปลายทางของทีมชาติเซเนกัล ผู้สร้างประวัติศาสตร์ในเกมที่ขึ้นชื่อว่า “พลิกล็อกที่สุดในฟุตบอลโลก” ก่อนที่ เซเนกัล จะขย้ำแชมป์เก่าอย่าง ฝรั่งเศส เกิดอะไรขึ้นบ้าง รวมพลแข้งไกลบ้าน
ก่อนเวิลด์คัพฉบับเอเชียจะเริ่มแข่งขัน เซเนกัล ไม่เคยไปฟุตบอลโลกมาก่อน สหพันธ์ฟุตบอลของพวกเขาเพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 1960 ณ เวลานั้นไม่ได้มีลีกอาชีพแต่อย่างใด ทว่าฟุตบอลของเซเนกัล ได้ก่อร่างสร้างตัวตั้งแต่ก่อนหน้านั้น จากทหารของกองทัพฝรั่งเศส ประเทศที่พวกเขาอยู่ในอาณานิคมนั่นเอง การพัฒนาต้องใช้ระยะเวลามาก โดยเฉพาะการพัฒนาจนถึงขั้นได้ไปฟุตบอลโลกนั้น หากทำผิดขั้นตอน ดีไม่พอ รอไม่เป็น ยิ่งเป็นสิ่งยากอย่างที่สุด นั่นคือเหตุผลที่
เซเนกัล ไม่เคยทำผลงานได้ใกล้เคียงเลยตั้งแต่ช่วงก่อตั้งสหพันธ์จนกระทั่งถึงยุค 90s แม้เด็ก ๆ ที่นั่นจะชื่นชอบฟุตบอลเป็นอย่างมาก แต่พวกเขายังขาดลีกอาชีพที่ดีที่จะยกระดับตัวเองได้ จนกระทั่งเมื่อมีการลงทุนจากสโมสรในประเทศฝรั่งเศส มาสร้างอคาเดมีเพื่อหาช้างเผือกในเซเนกัล อาทิ เม็ตซ์ และ โมนาโก รวมกับระบบเอเย่นต์ ตลอดจนการที่นักเตะเซเนกัล ได้เปรียบเรื่องความใกล้ชิดระหว่างประเทศของพวกเขากับฝรั่งเศส ทำให้นักฟุตบอลของ เซเนกัล
เริ่มได้มาเล่นในลีกฝรั่งเศสบ้าง ทว่าเป็นเพียงการเล่นให้ทีมเล็ก ๆ ในระดับลีกรอง หรือไม่ก็ทีมระดับกลางค่อนล่างเท่านั้น ตอนนั้นพวกเขายังไม่กล้าหวังถึงฟุตบอลโลกแน่นอน เพราะว่ากันด้วยเรื่องสถิติการติดทีมชาติและสถิติผู้ยิงประตูนั้น มีนักเตะเซเนกัลก่อนยุค 2000s ติดในทำเนียบนักเตะตำนานของชาติเพียง 2 รายเท่านั้น คือ โรเจอร์ เมนดี้ (1979-1995) และ จูลส์ โบก็องเด้ (1979-1993) ที่เหลือเป็นนักเตะยุคมิลเลเนียมทั้งนั้น คนที่ติดทีมชาติมากที่สุดและยิงประตู
มากที่สุดคือ อองรี กามาร่า (99 นัด 29 ประตู) ที่เริ่มติดทีมชาติในปี 1999 การมีนักเตะไปเล่นในต่างแดนและทำเงินได้มาก ทำให้เด็ก ๆ ที่เซเนกัลหลายคนเกิดความฮึกเหิม และมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน พวกเขารู้ดีว่าหากพัฒนาตัวเองได้ดีพอ พวกเขาจะได้ไปเล่นที่ฝรั่งเศส และนั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตในดินแดนศิวิไลซ์อย่างแท้จริง ปาปา บูบา ดิยอป คือหนึ่งเด็กที่ฝันจะเป็นเช่นนั้น เขาเล่นในทีมบ้านเกิดอยู่ถึง 4 ปี และตอนนั้นยังไม่เป็นลีกอาชีพด้วยซ้ำ
จนกระทั่งมีระบบเอเย่นต์และแมวมองเข้ามา เขาจึงได้ไปเล่นในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ กับ นูตาแชล ซามักซ์ ทีมในลีกรองเมื่อปี 2000 โดยสัญญาฉบับบนั้นเป็นสัญญาอาชีพครั้งแรกของเขาอีกด้วย ร่างกายที่แข็งแกร่งบวกกับความเร็วแบบนักเตะแอฟริกัน ทำให้บทบาทตัวรับของ ดิยอป โดดเด่นมาก เขาเล่นให้กับ ซามักซ์ ได้ไม่ทันครบฤดูกาล ก็ถูกทีมในลีกสูงสุดอย่าง กราสฮ็อปเปอร์ ซูริค ซื้อตัวไป และเมื่อขึ้นสู่ระดับสูงได้ไม่มีปัญหา การเดินทางที่รอคอยก็มาถึงเมื่อ
ล็องส์ ทีมจาก ลีก เอิง คว้าตัวเขาไปในฤดูกาล 2001-02 เส้นทางของ ดิยอป บ่งบอกถึงพัฒนาการนักเตะเซเนกัลในรุ่นเดียวกับเขาได้เป็นอย่างดี เพราะคนอื่น ๆ อย่าง ดิยุฟ, ดิเยา, ลามีน ดิอัตต้า และ อองรี กามาร่า ก็ได้สัญญาฉบับแรกที่ยุโรปกันทั้งสิ้น อยากเก่งต้องก้าวไปข้างหน้า และกล้าที่จะเผชิญวัฒนธรรมใหม่ นี่คือแนวคิดและจุดเริ่มต้นที่ทำให้ เซเนกัล กล้าที่จะเริ่มฝันไปฟุตบอลโลก ฝรั่งเศสชุด B แข้งเซเนกัลก้าวขึ้นมาเล่นในลีกเอิงมากขึ้น
นำโดยนักเตะชุดรุ่นอายุไล่ ๆ กับ ดิยอป และในปี 1998 พวกเขาทั้งหมดที่ยังเป็นวัยรุ่น ได้ดูฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ นำมาซึ่งความหวังว่ามันจะเป็นทีของพวกเขาบ้างในฟุตบอลโลกครั้งต่อไป “ปี 1998 พวกเรานั่งดูฟุตบอลโลกกันผ่านโทรทัศน์ ตอนนั้นผมยังอยู่ที่ เซเนกัล และผมเป็นกองเชียร์ของทีมชาติฝรั่งเศส” ดิยอป เล่าย้อนความไปในวันที่ความหวังบังเกิด เมื่อ ดิยอป และเพื่อน ๆ โตขึ้นจนเป็นนักเตะอาชีพ และพร้อมสำหรับการชิงชัยในฟุตบอลโลก 2002
ณ เวลานั้น เซเนกัล ถูกเรียกว่า “ฝรั่งเศส ชุดบี” สื่อตั้งฉายานี้ให้พวกเขาเพราะ เซเนกัล มีนักเตะที่เล่นในลีกฝรั่งเศสทั้งในระดับลีกเอิง และลีกเดอซ์ รวมถึง 21 จาก 23 รายชื่อ อีก 2 รายที่ค้าแข้งในประเทศเป็นผู้รักษาประตูสำรอง นอกจากนี้พวกเขายังมี บรูโน่ เม็ตซู กุนซือชาวฝรั่งเศสเป็นเฮดโค้ชอีกด้วย ปัจจัยสำคัญคงหนีไม่พ้นโค้ช เม็ตซู ผู้ทำให้เด็ก ๆ ของ เซเนกัล รู้ว่าตนเองมีดีและจงมองข้ามความกลัวนั้นไป ก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้น เซเนกัล
โดนถากถางเพราะเชื่อว่าคงผ่านกลุ่มที่โดนจับไปอยู่กับแชมป์เก่า และแชมป์ยูโร 2000 อย่างฝรั่งเศส, อุรุกวัย แชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัย และแชมป์ยูโร 1992 อย่าง เดนมาร์ก ไม่ได้ ฝรั่งเศสชุดใหญ่มีอัตราเดิมพันในการคว้าแชมป์โลกคราวนั้นอยู่ที่ 4-1 (แทง 1 จ่าย 4 ไม่รวมทุน) ขณะที่ เซเนกัล มีอัตราเดิมพันที่แทง 1 จ่าย 300 นี่คือความต่างที่คนนอกมองพวกเขา “ใคร ๆ ต่างก็เรียกพวกเราว่าเป็นฝรั่งเศสทีมสำรอง แต่ฟังนะ พวกเรามีนักเตะคุณภาพเยอะแยะ เด็ก ๆ
ของผมดีพอที่จะเป็นนักเตะทีมชาติฝรั่งเศสด้วยซ้ำ” เม็ตซู กุนซือจอมบู๊มาดเข้มกล่าวก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่ม “เหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากให้เด็ก ๆ ของผมมั่นใจ และคิดว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ผมแทบไม่ได้พูดถึงคู่แข่งให้พวกเขาฟังเลย โค้ชบางคนเน้นเรื่องนี้มาก พวกเขาใช้วีดีโอเจาะผู้เล่นรายคนของคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับลูกทีมผม ผมคิดว่าไม่จำเป็น พวกเขาเป็นแฟนของฝรั่งเศส และรู้จักนักเตะอย่าง เธียร์รี่ อองรี, ดาวิด เทรเซเกต์ และ
เอ็มมานูเอล เปอตีต์ ดีอยู่แล้ว” สิ่งเหล่านี้เรียกความมั่นใจ ทว่าไม่ใช่ความมั่นใจว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชนะในเกมนัดเปิดสนาม แต่มันคือความมั่นใจในตัวเองว่า เมื่อลงสนามไป พวกเขาจะลงไปสู้อย่างเต็มที่ ให้สมกับเป็นฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แค่ไม่กลัวซะอย่าง ขาของพวกเขาก็ก้าวลงไปในสนามรบตั้งแต่สงครามยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ อับดุลาย เวด ประธานาธิบดีของ เซเนกัล ณ เวลานั้น เปรียบเทียบนักเตะของพวกเขากับฝรั่งเศสว่า
มันเหมือนการแข่งขันของนักศึกษาฝึกงานที่เพิ่งผ่านการประเมิน และต้องลงแข่งขันกับพนักงานประจำรุ่นพี่ ซึ่งเปรียบได้กับเหล่านักเตะเซเนกัล ที่เรียนรู้ศาสตร์ฟุตบอลจากนักเตะฝรั่งเศสซึ่งพวกเขากำลังจะลงดวลด้วยในวันนี้ พวกเขาสอบผ่านตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ต่อให้แพ้ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ “มันเหมือนศึกของคนในครอบครัว นักเตะเซเนกัลได้เรียนรู้ด้านฟุตบอลมากมายในประเทศฝรั่งเศส และพวกเขามาถึงฝั่งแล้ว เราเป็นเด็กฝึกงานที่ซึมซับทุกอย่างมา
อย่างเต็มเปี่ยม และตอนนี้สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องสู้กับลูกพี่ของพวกเราเอง” เวด กล่าว ขณะที่ ปาปา บูบา ดิยอป ยังจำสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนวันแข่งได้ดี นักเตะ เซเนกัล อยู่ในสภาพที่พร้อมรบมาก พวกเขาเห็นข่าวที่สื่อนำเสนอ และยิ่งอยากจะแข่งขันมากขึ้น ข่าวบอกว่าฝรั่งเศสชุดใหญ่จะยิงฝรั่งเศสชุดบีด้วยสกอร์ 4-0 ขึ้นไป นั่นทำให้พวกเขายิ่งสบายใจเข้าไปใหญ่ เซเนกัล ไม่มีความกดดันอะไรเลย นอกจากลงไปสนุกกับประวัติศาสตร์ที่พวกเขาสร้างขึ้นด้วยตัวเอง
“มันเป็นฟุตบอลโลกครั้งแรกของเรา พวกเราเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าคาดหวังอะไรไปมากกว่าการได้สนุกกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนเกมพวกเรานั่งดูทีวี มีการทำนายผลว่าเราจะแพ้ 0-5 บ้าง 0-6 บ้าง ไม่มีใครให้ราคาเราเลย นั่นแหละดีที่สุด โอกาสมาถึงแล้ว เราหมดซึ่งความกังวล เราจะสนุกด้วยกันทั้งทีม ขณะที่ฝรั่งเศสนั้นรู้ดีว่า พวกเขาต้องเผชิญกับความกดดันมหาศาลเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ” ดิยอป ว่าไว้ หลังการซ้อมมื้อสุดท้ายเสร็จสิ้น นักเตะ เซเนกัล
เข้านอนและตื่นขึ้นมาพร้อมสำหรับเกมการแข่งขันจริง วันนี้บรรยากาศเปลี่ยนไปจากที่พวกเขาคุ้นเคย ทีมที่สนุกสนานร่าเริงแบบฉบับแอฟริกัน กลายเป็นทีมที่เงียบขรึม และพร้อมแล้วสำหรับแมตช์ฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเขา “พวกเรานอนไม่หลับ ผมนั่งถักผมจนถึงตี 2 ก่อนลงสนาม ผมไม่รู้สึกเครียด ผมผ่อนคลายมาก มากจนคิดว่าเราไม่น่าจะเป็นผู้แพ้” ซาลีฟ ดิเยา เล่าถึงช่วงเวลา 24 ชั่วโมงก่อนลงสนามที่กรุงโซล “เช้ามาพวกเราต้องลงไปกินข้าว
เรารับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างโดยที่ไม่ต้องพูดกัน เราอยู่ด้วยกันและรู้กันด้วยสายตา เหมือนกับจะบอกกันว่า ‘แกรู้นะเพื่อน ว่าแกต้องทำอะไร'” “เราเหยียบสนามและเหมือนกับช่วงเวลาที่เงียบเชียบก่อนสงครามใหญ่จะเกิดขึ้น เรามีความเชื่อและรู้ว่ามีงานใหญ่ให้ต้องทำ และถ้าเราทำได้ตามที่หวัง เราอาจจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ก็ได้” ดิเยา กล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะเรียกรวมทีมครั้งสุดท้าย รอเวลาเสียงนกหวีดเริ่มเกมดัง ประตูแรกของ เซเนกัล ในฟุตบอลโลก พาทริก วิเอร่า,
ซีเนดีน ซีดาน, อองรี, เทรเซเกต์, เปอตีต์ และอีกมากมายหลายชื่อของฝั่งฝรั่งเศสที่แฟนบอลทั่วโลกคุ้นหู ลงสนามด้วยเสียงเชียร์ที่กึกก้อง ขณะที่ฝั่ง เซเนกัล ณ เวลานั้นมีเพียง เอล ฮัดจิ ดิยุฟ ซึ่งถือว่าเป็นวันเดอร์คิดของลีกฝรั่งเศสรายเดียวเท่านั้นที่ยังพอคุ้นหูอยู่บ้าง
เกมนั้นนักเตะ เซเนกัล สั่นสู้ตามที่ปากพวกเขาบอก ดิยอป เล่าว่า แฟร์ดิน็องด์ โคลี่ แบ็คขวาของทีมเตรียมตัวเตรียมใจมาจับตาย อองรี ด้วยการเล่นแบบฮาร์ดแมน และนั่นทำให้ อองรี รู้สึกสยองพองขนไม่น้อย
คลิ๊กเลย >>> UFABETWINS
อ่านข่าวเพิ่ม >>> บ้านผลบอล